ก่อนที่จะมีชีวิตคู่หลังแต่งงาน
การที่คนเราสองคนตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตคู่ส่วนที่เหลือร่วมกันนั้น แน่นอนว่าบุคคลทั้งสองจะต้องมีความรักต่อกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนในที่สุดก็ได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน อย่างที่ผมได้เคยกล่าวมาแล้วว่า ความรักนั้นเป็นภาษาสากล เกิดได้กับทุกคน ไม่ว่าจะต่างเชื้อชาติต่างศาสนาก็สามารถที่จะมีความรักต่อกันได้ แต่ความรักนี้มันก็ช่างแปลก เพราะบางคนที่มีความรักก็รู้สึกจะมีความสุขตามไปด้วย แต่สำหรับบางคนพอเริ่มมีมันก็กลับมีความทุกข์ เอ่อก็แปลกดีนะ..
การที่คนเราสองคนตัดสินใจที่จะใช้ชีวิตคู่ส่วนที่เหลือร่วมกันนั้น แน่นอนว่าบุคคลทั้งสองจะต้องมีความรักต่อกันในช่วงระยะเวลาหนึ่ง จนในที่สุดก็ได้ตัดสินใจที่จะแต่งงานกัน อย่างที่ผมได้เคยกล่าวมาแล้วว่า ความรักนั้นเป็นภาษาสากล เกิดได้กับทุกคน ไม่ว่าจะต่างเชื้อชาติต่างศาสนาก็สามารถที่จะมีความรักต่อกันได้ แต่ความรักนี้มันก็ช่างแปลก เพราะบางคนที่มีความรักก็รู้สึกจะมีความสุขตามไปด้วย แต่สำหรับบางคนพอเริ่มมีมันก็กลับมีความทุกข์ เอ่อก็แปลกดีนะ..
ชีวิตคู่หลังแต่งงาน
มีชายหญิงอยู่หลายต่อหลายคู่ที่ก่อนแต่งงานนั้นรู้สึกว่า ชีวิตมีความสุขเสียเหลือเกิน ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเป็นสีชมพูไปหมด ไม่เคยเห็นข้อบกพร่องของคนที่เรารักเลยหรือพูดง่ายๆก็คือเขาหรือเธอทำอะไรก็ดีไปหมด แต่พอแต่งงานกันแล้ว ด้วยภาระหน้าที่การงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนแต่งงานอาจจะมีคนคอยดูแลเอาใจใส่ แต่พอมีครอบครัวแล้วกลับต้องมาดูแลสามีหรือภรรยา เมื่อก่อนเขาหรือเธอมีอิสระจะไปเที่ยวเตร่สวนเสเฮฮากับเพื่อนๆยังไงก็ได้ แต่หลังแต่งงานแล้ว ชีวิตเปลี่ยนไปจะใช้ชีวิตอิสระอย่างเดิมไม่ได้ รู้สึกว่าความเป็นอิสระน้อยลง โดยเฉพาะบางรายที่ตีค่าความรักคือความเป็นเจ้าของ คิดว่าคนที่เรารักคือของๆตน สามารถที่จะบังคับหรือบงการอะไรก็ได้ จนกระทั่งก้าวล่วงเข้าไปในความเป็นส่วนตัวของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่รู้ตัว
สิ่งต่างๆเหล่านี้อาจจะเป็นบ่อเกิดแห่งการทะเลาะเบาะแว้ง เกิดการกระทบกระทั่งกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างโทษกันไปโทษกันมา เริ่มไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในบางกรณีฝ่ายสามีหรือภรรยาต้องหารายได้เพิ่มขึ้น ทำงานล่วงเวลามากขึ้น ด้วยรายรับไม่พอกับรายจ่าย ต่างฝ่ายต่างก็เริ่มมีความสงสัย ระแวง หงุดหงิด เริ่มไม่ไว้วางใจกลัวว่าคนที่เรารักจะไปมีกิ๊กนอกบ้าน เริ่มคอยจับผิด ต่างฝ่ายต่างก็จะเริ่มอึดอัดมากขึ้น เรื่องต่างๆเหล่านี้อาจเกิดขึ้นได้กับคู่รักหลายๆคู่ ผมไม่ได้หมายความว่าชีวิตหลังแต่งงานนั้นจะแย่ไปเสียทุกคู่นะครับ ผมพูดถึงแต่ในประเด็นที่อาจจะเกิดขึ้นได้สำหรับคู่ที่ไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ยิ่งอยู่ใกล้กันมาก ใช้ชีวิตร่วมกันมาก แน่นอนว่าย่อมมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นของธรรมดา เหมือนลิ้นกับฟันที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ
ชีวิตคู่หลังแต่งงานในทศวรรษใหม่
นี่แสดงให้เห็นว่า วิถีชีวิตหลังแต่งงานที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ใช้ชีวิตร่วมกันทุกๆวัน ไม่ได้เป็นหลักประกันความมั่นคงในความรัก และยึดมั่นต่อพันธะสัญญาที่มีต่อกันอีกต่อไป หลายคู่ได้ค้นพบเส้นทางการร่วมชีวิตแบบใหม่ ที่สามารถผสมผสานรักแท้อย่างมีเหตุผลกับเสรีภาพส่วนบุคคลไว้ด้วยกัน จนกลายเป็นทางเลือกใหม่ที่มาแรงจนอาจจะเป็นเทรนใหม่ของว่าที่คู่บ่าวสาวในยุคต่อไป
ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ เผอิญได้ไปพบบทความในหนังสือ Teen, Kids & Family ซึ่งเป็นบทความที่กล่าวถึงการใช้ชีวิตคู่กึ่งอิสระหลังแต่งงาน หรืออาจจะไม่มีการแต่งงานก็ได้ ผมเห็นว่าอาจจะเป็นเทรนใหม่ของหนุ่มสาว หรือสำหรับคู่ที่กำลังเผชิญกับปัญหาอยู่อาจจะนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตคู่ของตน เลยอยากจะนำมาแชร์ในบทความนี้ด้วย เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ก็ลองช่วยกันคอมเม้นต์กันดูนะครับ
ตอนที่ผมเขียนบทความนี้ เผอิญได้ไปพบบทความในหนังสือ Teen, Kids & Family ซึ่งเป็นบทความที่กล่าวถึงการใช้ชีวิตคู่กึ่งอิสระหลังแต่งงาน หรืออาจจะไม่มีการแต่งงานก็ได้ ผมเห็นว่าอาจจะเป็นเทรนใหม่ของหนุ่มสาว หรือสำหรับคู่ที่กำลังเผชิญกับปัญหาอยู่อาจจะนำไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิตคู่ของตน เลยอยากจะนำมาแชร์ในบทความนี้ด้วย เห็นด้วยหรือไม่อย่างไร ก็ลองช่วยกันคอมเม้นต์กันดูนะครับ
นี่คือตัวอย่างแนวทางการใช้ชีวิตคู่กึ่งอิสระของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง
"ฉันทำงานเป็นที่ปรึกษาการจัดการบริหาร ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสฯ หลังจากเลิกงานฉันจะกลับบ้าน และทำอาหารเย็นให้ตัวเอง จากนั้นก็จะพักผ่อนบนโซฟาตัวโปรด จิบไวน์ ฟังเพลงที่ชอบหรือดูหนังเรื่องโปรดคนเดียว ไม่ต้องพูดกับใครเลย..."
"เมื่อถึงวันศุกร์จะเป็นวันที่ฉันจะพบกับคู่รัก เขามีอาชีพเป็นครู และทำงานหลังจากเลิกงานประจำที่บาร์หรือภัตตาคาร หลังจากนั้นเราจะไปที่บ้านของเขาหรือของฉันก็ได้ เพราะบ้านของเราอยู่ห่างกันแค่ขับรถ 15 นาที เราจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดวันหยุดสุดสัปดาห์ ใช้เวลาร่วมกันเหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่นๆ เจอเพื่อนๆ ออกไปดูหนัง และมีเซ็กซ์ด้วยกัน และเมื่อถึงวันจันทร์เราก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน เลิกงานต่างคนต่างกลับบ้านของตัวเองเราได้โทรศัพท์คุยกัน อีเมล์ถึงกันทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันทุกวัน จนกว่าจะถึงวันศุกร์..."
"งานของฉันต้องการเวลาและการทุ่มเทอย่างมาก คู่ของฉันก็เช่นเดียวกัน ฉันรักเขามากเพราะเขาเข้าใจว่าฉันต้องการเวลาสำหรับทำงาน เวลาสำหรับตัวเองตามลำพังเพื่อครุ่นคิดเรื่องต่างๆ และเขาก็ต้องการเวลาเช่นเดียวกับฉัน..."
"เมื่อถึงวันศุกร์จะเป็นวันที่ฉันจะพบกับคู่รัก เขามีอาชีพเป็นครู และทำงานหลังจากเลิกงานประจำที่บาร์หรือภัตตาคาร หลังจากนั้นเราจะไปที่บ้านของเขาหรือของฉันก็ได้ เพราะบ้านของเราอยู่ห่างกันแค่ขับรถ 15 นาที เราจะได้ใช้ชีวิตร่วมกันตลอดวันหยุดสุดสัปดาห์ ใช้เวลาร่วมกันเหมือนคู่สามีภรรยาคู่อื่นๆ เจอเพื่อนๆ ออกไปดูหนัง และมีเซ็กซ์ด้วยกัน และเมื่อถึงวันจันทร์เราก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน เลิกงานต่างคนต่างกลับบ้านของตัวเองเราได้โทรศัพท์คุยกัน อีเมล์ถึงกันทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันทุกวัน จนกว่าจะถึงวันศุกร์..."
"งานของฉันต้องการเวลาและการทุ่มเทอย่างมาก คู่ของฉันก็เช่นเดียวกัน ฉันรักเขามากเพราะเขาเข้าใจว่าฉันต้องการเวลาสำหรับทำงาน เวลาสำหรับตัวเองตามลำพังเพื่อครุ่นคิดเรื่องต่างๆ และเขาก็ต้องการเวลาเช่นเดียวกับฉัน..."
ก่อนหน้าที่หนุ่มคนรักคนนี้ จะได้พบกับคู่รักคนปัจจุบัน เขาเคยมีคนรักมาก่อน แต่ความรักครั้งนั้นจบลงด้วยต่างคนต่างกล่าวหากันและกัน ว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่รักษาคำมั่นสัญญา และเห็นแก่ตัว
"มีผู้หญิงจำนวนมากอาจจะคิดว่า.. ถ้าผู้ชายไม่ได้อยู่กับพวกเธอตลอดเวลา ไม่ร่วมแบ่งปันรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของกันและกันแล้ว นั่นย่อมแสดงว่า จะต้องมีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้น..."
"เธอเป็นหญิงสาวคนแรก ที่ไม่เพียงแต่เคารพความต้องการเวลาส่วนตัวของผมเท่านั้น แต่เธอยังเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งทีเดียว และผลของมันน่ะหรือครับ ผมยิ่งรู้สึกว่ามีพันธะสัญญากับเธอมากกว่าที่เคยรู้สึกกับผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทุกคนของผมเสียด้วยซํ้า..."
ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ล่าสุดของการมีความรักใช้ชีวิตร่วมกัน "กึ่งอิสระ" ที่คนรักกันสองคนพึงจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่คู่สามีภรรยาต้องการ ความรัก เซ็กส์ มิตรภาพและพันธะสัญญา โดยทั้งคู่ไมจำเป็นหรือต้องการเวลาอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน
"มีผู้หญิงจำนวนมากอาจจะคิดว่า.. ถ้าผู้ชายไม่ได้อยู่กับพวกเธอตลอดเวลา ไม่ร่วมแบ่งปันรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของกันและกันแล้ว นั่นย่อมแสดงว่า จะต้องมีอะไรที่ผิดปกติเกิดขึ้น..."
"เธอเป็นหญิงสาวคนแรก ที่ไม่เพียงแต่เคารพความต้องการเวลาส่วนตัวของผมเท่านั้น แต่เธอยังเข้าใจมันอย่างลึกซึ้งทีเดียว และผลของมันน่ะหรือครับ ผมยิ่งรู้สึกว่ามีพันธะสัญญากับเธอมากกว่าที่เคยรู้สึกกับผู้หญิงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตทุกคนของผมเสียด้วยซํ้า..."
ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวคู่นี้ เป็นปรากฏการณ์ใหม่ล่าสุดของการมีความรักใช้ชีวิตร่วมกัน "กึ่งอิสระ" ที่คนรักกันสองคนพึงจะมีทุกสิ่งทุกอย่างที่คู่สามีภรรยาต้องการ ความรัก เซ็กส์ มิตรภาพและพันธะสัญญา โดยทั้งคู่ไมจำเป็นหรือต้องการเวลาอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมงตลอด 7 วัน
"ชีวิตคู่กึ่งอิสระ" ดูจะเป็นทางออกที่ตอบสนองสภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา เสรีภาพ อิสรภาพ ที่เจริญงอกงามพร้อมกับความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ ของผู้หญิงทำงานรุ่นใหม่ๆ ซึ่งในปัจจุบันผู้หญิงจำนวนมาก ไม่ได้ฝากชีวิตและอนาคตทางการเงินไว้ในอุ้งมือผู้ชาย รวมทั้งสถานภาพทางสังคมของพวกเธอด้วย...สาวทำงานเก่งเหล่านี้มองเห็นสาระประโยชน์ของการมีชีวิตคู่กึ่งอิสระ"
ความสัมพันธ์ของชีวิตคู่กึ่งอิสระก็คือ การตรวจสอบความหมายของการอยู่ด้วยกันที่มากกว่าความใกล้ชิด หรือจำนวนเวลาที่คนเราให้กับใครอีกคนหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ให้คำจำกัดความว่า "เป็นความสัมพันธ์ที่แข็งแรงอย่างแท้จริง" ที่คนสองคนยังคงความเป็นปัจเจกของเราไว้ด้วยกัน แจกแจงให้ชัดเจนก็คือ ทั้งคู่สามารถได้รักและได้รับความรักจากกันและกัน โดยไม่จำเป็นต้องพบหน้าอีกฝ่ายหนึ่งตลอดเวลา ด้วยความเชื่อถือเชื่อใจระหว่างกัน
ถ้า "ชีวิตคู่กึ่งอิสระ" สอนให้เรารู้ว่าความสัมพันธ์ที่ดีมีคุณภาพ จะต้องมีเสรีภาพรวมอยู่ด้วย มันก็ควรจะสอนให้เรารู้ว่าการมีอิสระเสรีภาพนั้น หมายถึงความมั่นคงทางจิตใจด้วย และเมื่อทั้งคู่ต้องการความสัมพันธ์ชนิดเต็มรูปแบบหรือกึ่งอิสระ ความรู้สึกมีสิทธิและอิสรภาพก็ติดตามเขาไปด้วย พวกเขายังคงมีชีวิตเป็นของตนเอง มีความสนใจและมีเพื่อนๆ ของตัวเอง พวกเขาอาจจะหลงรักกันและกันอย่างบ้าคลั่ง และจะมีชีวิตร่วมกันจนชั่วฟ้าดินสลาย แต่พวกเขาจะต้องสงวนความสัมพันธ์กึ่งอิสระนี้ไว้ที่มุมเล็กๆ ส่วนตัวด้วย
กล่าวโดยสรุป
ชีวิตคู่หลังแต่งงาน ไม่ว่าชายหญิงจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอด 24 ชั่วโมงหรือกึ่งอิสระดังที่กล่าวมาแล้วก็ตาม ผมว่ามันก็ไม่ได้เป็นหลักประกันของความสุขความยั่งยืนในชีวิตหลังแต่งงานหรอกครับ แต่ขึ้นอยู่กับการให้ความหมายของความรักในทางที่ถูกที่ควรอย่างมีเหตุผล และที่สำคัญความรักแน่นอนย่อมไม่ได้หมายถึงการเป็นเจ้าของ คนเราเป็นเจ้าของได้เฉพาะสิ่งของเครื่องใช้เท่านั้น แต่เราไม่สามารถเป็นเจ้าของสิ่งที่มีชีวิตได้แม้กระทั่งสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้ อันที่จริงมันก็ต้องการอิสรภาพด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่มันไม่สามารถที่จะบอกเราได้
ความรักที่แท้จริงนั้นคือการให้ ให้การปกป้องดูแลเอาใจใส่ ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ให้ความอบอุ่น ต้องการให้คนที่เรารักมีความสุข มีความปลอดภัย ใช้ความรักอย่างสมดุลย์อย่างมีเหตุมีผล เคารพในความเป็นส่วนตัวของกันและกัน และที่สำคัญต้องให้ความไว้วางใจและเชื่อใจกัน เพราะถ้าคุณไม่ไว้ใจคนที่คุณรักแล้ว คุณจะไว้ใจใครได้อีก ผมอยากให้คนที่กำลังใช้ชีวิตคู่ทุกคนมีความสุขและสุขอย่างยั่งยืนตลอดไป
ชีวิตคู่หลังแต่งงาน ไม่ว่าชายหญิงจะใช้ชีวิตร่วมกันตลอด 24 ชั่วโมงหรือกึ่งอิสระดังที่กล่าวมาแล้วก็ตาม ผมว่ามันก็ไม่ได้เป็นหลักประกันของความสุขความยั่งยืนในชีวิตหลังแต่งงานหรอกครับ แต่ขึ้นอยู่กับการให้ความหมายของความรักในทางที่ถูกที่ควรอย่างมีเหตุผล และที่สำคัญความรักแน่นอนย่อมไม่ได้หมายถึงการเป็นเจ้าของ คนเราเป็นเจ้าของได้เฉพาะสิ่งของเครื่องใช้เท่านั้น แต่เราไม่สามารถเป็นเจ้าของสิ่งที่มีชีวิตได้แม้กระทั่งสัตว์ที่เราเลี้ยงไว้ อันที่จริงมันก็ต้องการอิสรภาพด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่มันไม่สามารถที่จะบอกเราได้
ความรักที่แท้จริงนั้นคือการให้ ให้การปกป้องดูแลเอาใจใส่ ให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน ให้ความอบอุ่น ต้องการให้คนที่เรารักมีความสุข มีความปลอดภัย ใช้ความรักอย่างสมดุลย์อย่างมีเหตุมีผล เคารพในความเป็นส่วนตัวของกันและกัน และที่สำคัญต้องให้ความไว้วางใจและเชื่อใจกัน เพราะถ้าคุณไม่ไว้ใจคนที่คุณรักแล้ว คุณจะไว้ใจใครได้อีก ผมอยากให้คนที่กำลังใช้ชีวิตคู่ทุกคนมีความสุขและสุขอย่างยั่งยืนตลอดไป